Tuesday, October 21, 2008

ศาลพิพากษา แม้ว ทุจริตซื้อที่ดินผิดมหันต์! จำคุก 2 ปี อ้อ รอดยกฟ้อง



ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการ เมือง พิพากษา “แม้ว-อ้อ” ซื้อที่ดินรัชดาฯ ผิดตั้งแต่ต้น ข้อกฎหมายแพ้ราบคาบ ข้อเท็จจริง ฟังไม่ขึ้น

วันนี้ (21 ต.ค.) เวลา 14.00 น. องค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สนามหลวง ออกนั่งบัลลังก์ อ่านคำพิพากษา ในคดีทุจริตซื้อขายที่ดินรัชดาภิเษกจำนวน 33 ไร่ มูลค่า 772 ล้านบาท ที่อัยการสูงสุดเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยา เป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ร่วมกันเป็นคู่สัญญา หรือมีส่วนได้ส่วนเสียในสัญญาที่ทำกับหน่วยงานของรัฐ ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งมีอำนาจกำกับ ดูแล ควบคุม ตรวจสอบ หรือดำเนินคดีและเป็นเจ้าพนักงาน และผู้สนับสนุนเจ้าพนักงาน มีหน้าที่จัดการหรือดูแลกิจการใด เข้าไปมีส่วนได้ส่วนเสียเพื่อประโยชน์สำหรับตนเองหรือผู้อื่นฯ ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) พ.ศ.2542 มาตรา 4, 100 และ 122 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 83, 86, 91, 152 และ 157 ขอให้ยึดทรัพย์ตกเป็นของแผ่นดิน

โดยหลังศาลได้อ่านคำฟ้อง และผลการไต่สวนฝ่ายโจทก์ และจำเลยแล้ว โดยจำเลยทั้ง 2 ปฏิเสธว่าไม่ได้กระทำความผิดตามที่ถูกกล่าวหา

สำหรับประเด็นปัญหาข้อกฎหมายที่ จำเลยทั้ง 2 ยกเป็นข้อโต้แย้ง ประกอบด้วย เรื่องอำนาจของ คตส.ขัดหรือแย้ง รัฐธรรมนูญ เรื่อง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วย ป.ป.ช.พ.ศ.2542 สิ้นสภาพไปจากการยึดอำนาจของ คปค.รวมทั้งข้อต่อสู้เรื่อง คตส.ไม่มีอำนาจในการสอบสวน อีกทั้งการสอบสวนไม่ชอบตั้งแต่เริ่มต้น ศาลมีมติเป็นเอกฉันท์ว่าข้อโต้แย้งทั้งหมด ฟังไม่ขึ้น ส่วนบรรดาบทบัญญัติแห่งกฎหมายต่างๆ ก็ยังคงมีผลบังคับใช้ ต่อไป

สำหรับประเด็นข้อเท็จจริง ที่จำเลยทั้ง 2 ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง กองทุนฟื้นฟูไม่ใช่หน่วยงานของรัฐ อำนาจของจำเลยที่ 1 ว่า ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ของรัฐ ศาลมีมติเป็นเอกฉันท์ ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน

ขณะเกิดเหตุ จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยกฎหมาย ป.ป.ช.พ.ศ.2542 มาตรา 4 มีอำนาจหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินร่วมกับ รัฐมนตรีอื่น ตามนโยบายที่ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภา ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ที่ใช้บังอยู่

จำเลยที่ 1 เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นหัวหน้ารัฐบาล มีอำนาจ ควบคุมราชการทั้ง ส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น มีอำนาจ สั่งยับยั้ง และสั่งสอบสวน มีอำนาจบังคับบัญชา ทุกตำแหน่ง ในสังกัด ทุกกระทรวง ทบวง กรม มีอำนาจหน้าที่ขอบเขตอย่างกว้างขวาง มีอำนาจเหนือ ข้าราชการทุกตำแหน่ง ทุกกระทรวง ทบวง กรม

นอกจากนั้น นายกรัฐมนตรี จำเลยที่ 1 ในฐานะหัวหน้ารัฐบาล มีอำนาจกำกับดูแล กองทุนฟื้นฟูฯ เคยใช้อำนาจในการควบคุมกำกับกองทุนฟื้นฟู องค์คณะผู้พิพากษามีมติ 6 ต่อ 3 ว่า จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ มีอำนาจ กำกับ กองทุนฟื้นฟู ข้อต่อสู้ของจำเลย ทั้ง 2 มิอาจรับฟังได้

ประเด็นเรื่องทำให้กองทุนฟื้นฟูได้รับความเสียหายจากการประมูลซื้อ ขายที่ดินหรือไม่ จำเลยที่ 1 เป็นนายกรัฐมนตรี มีฐานะมั่งคั่ง เป็นบุคคลที่มีอำนาจ บารมีทางการเมืองสูง การที่มีการประมูลราคา โดยมีผู้แข่งขันกันเพียง 3 ราย ขณะที่ผู้เสนอราคา ไม่ต้องการเสนอราคาที่สูง เพื่อไม่ต้องการซื้อในราคาที่แพง รวมถึงจำเลยที่ 2 ภรรยาจำเลยที่ 1 ก็ไม่สมควรเข้าไปซื้อทรัพย์สินของกองทุนฟื้นฟู เพราะการประมูลขายทรัพย์สินของกองทุนฟื้นฟู ซึ่งนายกรัฐมนตรี จำเลยที่ 1 เป็นผู้ดูแลและรับผิดชอบ กองทุนฟื้นฟู จำเลยที่ 2 เป็นภรรยานายกรัฐมนตรี และมีการรู้กันก่อนล่วงหน้าว่า ภรรยายานายกรัฐมนตรีมาซื้อที่ดิน และข้าราชการส่วนใหญ่ ก็ย่อมปฎิบัติตาม จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้มีบารมีทางการเมืองสูง ถือเป็นการประมูลโดยเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน มากกว่าประโยชน์ส่วนรวม ทำให้กองทุนฟื้นฟูได้รับความเสียหาย ประกอบกับ จำเลยทั้ง 2 ไม่มีหลักฐานมาแสดงหักล้างได้ องค์คณะมีมติ 5 ต่อ 4 ว่า จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ กระทำฝ่าฝืนกฎหมายว่าด้วย ป.ป.ช.ข้อต่อสู้ของ จำเลยทั้ง 2 ฟังไม่ขึ้น

สำหรับปัญหาที่ต้องวินิจฉัยประการสุดท้าย ที่ดินพิพาท การที่จำเลยที่ 2 ร่วมประมูลราคา และทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาท เนื่องจากสถานภาพของ จำเลยที่ 1 ขณะนั้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี นายกฯ ซึ่งต้องห้าม ตามกฎหมาย เป็นเหตุให้ จำเลยที่ 1 มีความผิด ต้องรับโทษ ตามมาตรา 100 องค์คณะมีมติเป็นเอกฉันท์ว่าที่ดินพิพาท ไม่ใช่ทรัพย์สินที่ใช้ในการกระทำความผิด ที่ดินพิพาทและทรัพย์สิน จึงไม่จำเป็นต้องริบตามกฎหมาย

พิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ.2542 ตามมาตรา 100 โดยองค์คณะผู้พิพากษามีมติ 5 ต่อ 4 ให้จำคุก 2 ปี ส่วนความผิดฐานอื่นให้ยก สำหรับคุณหญิงพจมาน ชินวัตร จำเลยที่ 2 องค์คณะผู้พิพากษามีมติ 7 ต่อ 2 ให้ยกฟ้อง และให้เพิกถอนหมายจับ แต่ให้ออกหมายจับจำเลยที่ 1 พร้อมประกาศตามพระราชกิจจานุเบกษา ในความผิดเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ

No comments: