Monday, October 13, 2008

ส.ส.ในสังกัดชวลิตออกโรงป้อง ยันยึดสันติวิธีแก้ปัญหามาโดยตลอด

วันนี้ (13 ต.ค.) ที่รัฐสภา นายชวลิต วิชยสุทธิ์ ส.ส.ระบบสัดส่วน พรรคพลังประชาชน ในฐานะคณะทำงานของพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตรองนายกฯ ได้แถลงถึงกรณีที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่า พล.อ.ชวลิตตัดสินใจหรือสั่งสลายม็อบด้วยวิธีการรุนแรงเมื่อวันที่ 7 ต.ค..ว่า เรื่องนี้ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพพจน์ที่มิหลักการในการแก้ไขปัญหาบ้าน เมืองด้วยวิธีสันติมาโดยตลอด ซึ่งตนก็ได้หารือกับพล.อ.ชวลิต เพื่อให้ออกมาชี้แจงข้อเท็จจริงให้ประชาชนรับทราบ แต่ท่านบอกว่าใครจะว่ากล่าวอย่างไรท่านไม่ท้อถอย หรือหมดกำลังใจเพราะมั่นใจว่าได้ยึดหลักสันติวิธีในการแก้ไขปัญหา ขอให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ และพร้อมจะให้ความร่วมมือกับคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงที่รัฐบาลตั้งขึ้น มา อย่างไรก็ตามตนและส.ส.อีกหลายคนได้อยู่ในเหตุการณ์กับพล.อ.ชวลิตในคืนวันที่ 6 ต.ค.ตั้งแต่ต้นจนจบว่า พล.อ.ชวลิตได้เสนอหลักการแก้ปัญหาโดยยึดหลักสันติวิธี แต่กลับมีการว่ากล่าวทำให้ประชาชนเข้าใจผิดไปจากความจริง ถือว่าไม่ยุติธรรมสำหรับคนที่ตั้งใจที่ดี แล้วได้ผลร้ายตอบแทน

นายชวลิต กล่าวว่า หลังจากรับตำแหน่งรองนายกฯก็ได้มีการประสานงานกับกลุ่มพันธมิตร ซึ่งก็ได้รับการตอบรับด้วยดี ทำให้บรรยากาศการเมืองในขณะนั้นดีขึ้นมาก ทำให้มั่นใจว่าความปรองดองและสมานฉันท์จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ แต่เมื่อมีการจับ 2 แกนนำพันธมิตรก็ทำให้เกิดความแคลงใจว่ารัฐบาลตีสองหน้า ทำให้ภาระตกอยู่ที่พล.อ.ชวลิต ซึ่งทางพันธมิตรได้ระดมพลปิดล้อมหน้ารัฐสภา เพื่อขัดขวางการแถลงนโยบายรัฐบาล จึงทำให้รัฐบาลเรียกประชุมครม.นัดพิเศษที่ดอนเมืองเพื่อหาทางออกในเรื่องนี้ ซึ่งพล.อ.ได้เสนอทางออกให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวน 3-4 กองร้อยรักษาสถานที่คือรัฐสภา และให้ย้ายสถานที่ประชุมเป็นที่กองทัพไทย และศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ซึ่งนายกฯและรัฐมนตรีหลายคนก็สนับสนุน ขณะเดียวกันก็มีรัฐมนตรีหลายคนไม่เห็นด้วย และนายชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภายืนยันไม่เปลี่ยนแปลงสถานที่ วัน เวลาการประชุม ในที่สุดที่ประชุมได้มอบหมายให้พล.อ.ชวลิตเป็นผู้ดูแลความสงบเรียบร้อย โดยพล.อ.ชวลิตได้มอบนโยบายให้เจ้าหน้าที่ตำรวจที่บชน.ให้เจรจากับกลุ่ม พันธมิตรด้วยความละมุนละม่อมเพื่อให้สมาชิกรัฐสภาเดินทางเข้าไปประชุมตาม กำหนดได้ แต่หากไม่สามารถปฎิบัติตามนโยบายก็ขอให้ยุติไว้ก่อน

นายชวลิต กล่าวอีกว่า เมื่อไม่เป็นไปตามนโยบายที่ให้ไว้จนเกิดการปะทะกันบาดเจ็บ ล้ม ตาย พล.อ.ชวลิตท่านก็รู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และได้แสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออก เพราะท่านเห็นว่าแนวทางสันติเท่านั้นที่จะแก้ไขปัญหาความแตกแยก เพื่อนำไปสู่ความปรองดองสมานฉันท์ ซึ่งพล.อ.ชวลิตก็เห็นด้วยที่นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกฯที่ออกรายการโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจเมื่อวันที่ 12 ต.ต.ที่ยินดีจะเจรจากับพันธมิตรเพื่อยุติปัญหาที่มีอยู่อย่างยาวนานให้หมด สิ้น อย่างไรก็ตามกรณีที่พล.อ.ชวลิตได้เสนอทางออกด้วยการปฎิวัตินั้น ท่านระบุว่าต้องคิดตามหลาย ๆชั้น เพราะเป้าหมายสุดท้ายของนายทหารประชาธิปไตยคือต้องไม่ให้เกิดการปฎิวัตินั้น เอง

ผู้สื่อข่าวถามเหตุใดพล.อ.ชวลิตจึงปล่อยเวลาให้เนินนานไม่ชี้แจง ตั้งแต่ต้น นายชวลิต กล่าวว่า โดยส่วนตัวท่านเองตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันก็ไม่คิดจะชี้แจง โดยยึดหลักให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ เหมือนที่เคยถูกกล่าวหาในอดีต ซึ่งตนก็แย้งว่าตอนนี้อายุ 76 ปีแล้วหากปล่อยกว่าสังคมจะรับรู้ก็เกิดความเสียหายแล้ว อย่างไรก็ตามขณะนี้ท่านก็ยังยืนยันว่าจะไม่ละทิ้งบ้านเมือง แต่สถานะของท่านขณะนี้คงไม่สามารถทำความเข้าใจได้

เมื่อถามว่าเหตุการณ์ปะทะกันเพราะพล.อ.ชวลิตถูกหักหลังหรือไม่ นายชวลิต กล่าวว่า ในทางปฎิบัติอุบัติเหตุย่อมเกิดขึ้นได้เสมอ ท่านให้ได้นโยบาย แต่ไม่ได้ลงลึกในรายละเอียด ผู้รับปฎิบัติก็คือผู้บังคับบัญชาชั้นสูงของบช.น.จึงไม่คิดว่าจะเป็นการหัก หลัง เข้าใจว่าตำรวจคงทำตามหน้าที่ ซึ่งข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับคณะกรรมการสอบสวน

ผู้สื่อข่าวถามว่าการให้สัมภาษณ์ของพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.ได้กระทบถึงพล.อ.ชวลิต โดยเฉพาะการเสนอให้ปฎิวัติ นายชวลิต กล่าวว่า ตนได้พูดคุยกับท่าน ท่านก็ยังเมตตารุ่นน้อง ๆ ซึ่งในอดีตก็เคยปราบกบฎมาหลายครั้ง ก็ไม่เคยฆ่าน้องแม้แต่รายเดียว เข้าใจว่าผบ.ทบ.ไม่มีเจตนาไปกระทบพล.อ.ชวลิต เพราะเป็นผู้บังคับบัญชาในอดีต

No comments: